9 Views |
Spotify Premium เปิดตัวระบบเสียง Lossless แล้ว ฟีเจอร์เสียงคุณภาพสูงแบบ Lossless ซึ่งเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่ผู้ใช้รอคอยมากที่สุด ได้เริ่มทยอยเปิดให้ใช้งานในบางประเทศแล้ว ผู้ใช้ Spotify Premium จะได้รับการแจ้งเตือนเมื่อฟีเจอร์นี้พร้อมใช้งานในบัญชีของตน Gustav Gyllenhammar รองประธานฝ่ายการสมัครสมาชิกของ Spotify กล่าวว่า
“เราตื่นเต้นมากที่เสียงแบบ Lossless กำลังเปิดให้ผู้ใช้ Premium ได้สัมผัส เราออกแบบฟีเจอร์นี้โดยคำนึงถึงคุณภาพ ความง่ายในการใช้งาน และความชัดเจนในทุกขั้นตอน เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังได้อย่างชัดเจน"
คุณภาพเสียงสูงสุดที่ Spotify เคยมี
รองรับการสตรีมเพลงในระดับ 24-bit/44.1 kHz FLAC
-ให้รายละเอียดเสียงที่คมชัดและสมจริงมากขึ้น
-ใช้งานได้บนมือถือ เดสก์ท็อป แท็บเล็ต และอุปกรณ์ที่รองรับ Spotify Connect เช่น Bluesound Node
-วิธีเปิดใช้งาน Lossless
แตะที่ไอคอนโปรไฟล์ด้านบนซ้ายในแอป Spotify
-ไปที่ Settings & Privacy → Media Quality.
-เลือกเปิด Lossless สำหรับ Wi-Fi, เครือข่ายมือถือ หรือการดาวน์โหลด
-สัญลักษณ์ Lossless จะปรากฏในหน้าต่าง Now Playing และ Connect Picker
รูปภาพประกอบจากทางเว็บ Spotify
หมายเหตุ : ต้องเปิดใช้งาน Lossless แยกในแต่ละอุปกรณ์ที่กำลังฟังหรือใช้งานอยู่
แนะนำให้ใช้หูฟังหรือลำโพงแบบมีสายผ่าน Wi-Fi เพื่อคุณภาพเสียงที่ดีที่สุด เพราะ Bluetooth ยังไม่สามารถส่งสัญญาณ Lossless ได้เต็มรูปแบบ
เริ่มใช้งานเมื่อไร? ฟีเจอร์ Lossless จะทยอยเปิดให้ใช้งานในกว่า 50 ประเทศภายในเดือนตุลาคมนี้ โดยผู้ใช้ในออสเตรเลีย ออสเตรีย เช็ก เดนมาร์ก เยอรมนี ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ เนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส สวีเดน สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร ได้เริ่มใช้งานแล้ว
ข้างบนนี้จะเป็นเนื้อหาจากทางเว็บของ Spotify เองที่เป็นข่าวอยู่หน้าเว็บไซท์ของเขา ที่ชื่อบทความ Lossless Listening Arrives on Spotify Premium With a Richer, More Detailed Listening Experience
ส่วนเรามาว่ากันเรื่อง HD Lossless กันต่อ ตอนเห็นครั้งแรก ผมก็ เอ้ะ ก่อนเลย หลายปีก่อนหน้า ทาง Spotify เองได้เริ่มประกาศ น่าจะเป็นช่วง 2021-2022 ว่าเขาจะเริ่มให้บริการแบบ Lossless แต่พอมาประกาศจริง กลับเซอร์ไพซ์ เล็กๆ ว่าฉันเป็น HD ด้วยนะ ซึ่งก็คือ High Defination นั้นเอง ถามว่าแตะไฮเรสแล้วยัง ส่วนตัวผมว่ายังนะครับ
มาตรฐานเพลงไฮเรส มันควรจะเริ่ม ที่ 24/96K ย้อนไปสัก 10 กว่าปีก่อนที่ฟอร์แม็ตนี้เปิดตัวมา ในปัจจุบันฟอร์แม็ตไฮเรสก้าวกระโดดไปถึง 32/384K แล้ว นี่อาจเป็นเหตุผลที่เขาเพิ่งเปิดตัวสตรีมมิ่ง HD Lossless ของเขาก็เป็นได้ครับ คือพยายามฮัพสถานะขึ้นอีกนิด เพราะมาที่หลังแล้ว ยังยังมาแค่ Lossless ก็คงดูแปลกๆ กับเหล่าเพื่อนๆ ในวงการที่ทยอยเปิดหน้าชกไปก่อนหน้าแทบจะหมดทุกเจ้าแล้ว เพราะก็หน้านี้ ทาง Apple music ได้ชิงตัดหน้า เปิดสตรีมมิ่งไฮเรสของเขาไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่จะฟังเพลงไฮเรสจริงๆได้ ก็ต่อเมื่อคุณเล่นผ่านอุปกรณ์ของเขาเท่านั้น มันอาจจะไม่แพร่หลายในหมู่นักฟังออดิโอไฟล์ เท่าสตรีมมิ่งแบบไฮเรสเจ้าอื่นๆ
กลับมาว่าต่อเรื่อง HD Lossless นี้ของทาง Spotify จะเป็นเพียงการฟังสตรีมเพลงความละเอียดที่ 24 บิท/44.1 KHz เท่านั้น ที่นี้ผมจะมาย้อนที่ไปที่มาของความแตกต่างของปกติไฟล์เพลงแบบ 16/44.1 กับ 24/44.1 มันแตกต่างกันอย่างไร เผื่อท่านที่เพิ่งมาเริ่มสนใจวงการไฮไฟได้เข้าใจกันครับ ส่วนท่านที่ทราบอยู่แล้ว ก็อ่านข้ามๆไปเลยก็ได้ครับ
เพลงในรูปแบบ 16/44.1 กับ 24/44.1 มีความแตกต่างกันที่ Bit Depth ซึ่งเป็นตัวกำหนดความละเอียด และความดังของเสียง โดยตัวเลข "16" และ "24" คือค่า Bit Depth ส่วน "44.1" คือค่า Sample Rate ซึ่งทั้งสองรูปแบบมีค่าเท่ากันอยู่ที่ 44.1
ความแตกต่างหลักๆ คือ อะไร?
Bit Depth : ค่าที่ใช้บอก Sample ในระบบเสียงดิจิทัลสามารถเก็บข้อมูลความดังได้ละเอียดแค่ไหน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อ คุณภาพเสียงและ Dynamic Range ของไฟล์เสียงนั้น ๆ
16-bit : เก็บข้อมูลความดังของเสียงได้ 65,536 ระดับ (2¹⁶) ซึ่งเป็นมาตรฐานของแผ่น CD
24-bit : เก็บข้อมูลความดังของเสียงได้ถึ ง 16,777,216 ระดับ (2²⁴) ซึ่งเห็นได้ว่ามีความละเอียดมากกว่า 16-bit เป็นอย่างมาก ทำให้สามารถบันทึกรายละเอียดเสียงที่แผ่วเบา หรือ ที่ดังมากๆ ได้ดีกว่า และมี Dynamic Range ที่กว้างกว่า (144 dB ที่เขานิยามว่ามันคือระดับเดียวกับไฮเรสออดิโอแล้วล่ะครับ) ในขณะที่ไฟล์เพลง 16-bit มี Dynamic Range อยู่ที่ 96 dB
หรือท่านอาจจะลองนึกถึงการวาดภาพด้วยดินสอทั้งสองแบบ
16-bit = ดินสอที่มีเฉดสีเทา 65,536 เฉด
24-bit = ดินสอที่มีเฉดสีเทา 16.7 ล้านเฉด → ภาพที่วาดด้วย 24-bit จะภาพสีที่มีมิติ และความลึกมากกว่า
Sample Rate (อัตราการสุ่มตัวอย่าง):
44.1 kHz: หมายถึงการสุ่มตัวอย่างสัญญาณเสียง 44,100 ครั้งต่อวินาที ซึ่งเพียงพอที่จะครอบคลุมทุกช่วงความถี่เสียงที่หูของมนุษย์ ได้ยิน (ประมาณ 20 Hz - 20 kHz) ตามทฤษฎี Nyquist
สรุปความแตกต่าง
Bit Depth แบบ 16-bit (ความละเอียดต่ำกว่า) แบบ 24-bit (ความละเอียดสูงกว่า)
Sample Rate : ที่ 44.1 kHz (เท่ากัน) และ 44.1 kHz (เท่ากัน)
คุณภาพเสียง : เทียบเท่าคุณภาพระดับ CD เหมาะสำหรับการฟังทั่วไป ส่วน24 บิทมีคุณภาพสูง (เทียบเท่า Hi-Res Audio) มีรายละเอียดเสียงและ Dynamic Range ที่กว้างกว่า
ขนาดไฟล์ : 16/44.1 เล็กกว่า 24/44.1 มีขนาดใหญ่กว่า
การนำมาใช้งาน : มาตรฐานสำหรับแผ่น CD และการสตรีมมิ่งทั่วไปเหมาะสำหรับการบันทึกเสียงในสตูดิโอ, การทำมาสเตอร์เพลง, และการฟังในระบบ Hi-Fi ที่ต้องการคุณภาพสูงสุด
ความรู้สึกในการฟัง : โดยทั่วไปแล้ว ผู้ฟังส่วนใหญ่ อาจไม่สามารถแยกความแตกต่ างของเสียงระหว่าง 16/44.1 กับ 24/44.1 ได้ด้วยหูเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากฟังผ่านอุ ปกรณ์ทั่วไป แต่สำหรับ นักฟังเพลงหรือผู้ที่ทำงานด้ านเสียง ที่มีอุปกรณ์เครื่องเสียงระดั บสูง (เช่น หูฟังคุณภาพสูง, DAC, ลำโพง Hi-Fi) อาจจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างในเรื่องของรายละเอียดเสียงเล็กๆ น้อยๆ ความกว้างของมิติเสียง และความนุ่มนวลของเสียงที่ได้ จากไฟล์เพลง 24-bit
ดังนั้นแม้ว่า 24-bit จะให้คุณภาพเสียงที่เหนือกว่าในเชิงเทคนิค แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้ยินความแตกต่างอย่างชัดเจนในทุกกรณีครับ
Photo from : https://headphonesaddict.com
1. ใครคือผู้ฟัง?
ถ้าคุณเป็นผู้ฟังทั่วไป (Casual Listener): คุณอาจฟังเพลงผ่านหูฟังทั่วไปที่ให้มาพร้อมกับโทรศัพท์มือถือ หรือผ่านลำโพงบลูทูธราคาไม่สูงมาก คุณก็มักจะฟังเพลงในสภาพแวดล้อมที่ มีเสียงรบกวน เช่น ฟังระหว่างเดินทาง หรือ ในออฟฟิศที่ทำงาน ดังนั้นการฟังเพลงไฟล์ 16/44.1 kHz ก็อาจจะเพียงพอแล้ว เพราะคุณภาพเสียงในระดับนี้เทียบเท่ากับแผ่น CD ซึ่งถือว่ามีคุณภาพสูงมากพอสำหรับหูของมนุษย์ทั่วไป และอุปกรณ์พื้นฐานส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ออกแบบมาให้โชว์แสดงความแตกต่างของไฟล์ 24-bit ได้อย่างเต็มที่
แต่ถ้าคุณเป็นนักฟังเพลงตัวจริงระดับ Audiophile หรือผู้ที่ทำงานด้านเสียง คุณมีชุดเครื่องเสียง หรือ ชุดอุปกรณ์ฟังเพลงคุณภาพสูง (High-end audio setup) เช่น หูฟัง Hi-Fi, DAC (Digital-to-Analog Converter) หรือลำโพงระดับสตูดิโอ เพียงคุณฟังเพลงในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบจริงๆ ก็จะฟังออกได้อย่างง่ายๆ เลย ดังนั้นการฟังเพลงจากไฟล์ 24/44.1 kHz (หรือสูงกว่า) เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะจะช่วยให้คุณได้ยินรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ถูกบันทึกมา เช่น เสียงลมหายใจของนักร้อง, ความกังวานของเครื่องดนตรี, หรือมิติเสียงที่กว้างขึ้น ซึ่งไฟล์ 16-bit อาจไม่สามารถถ่ายทอดได้ดีเท่า
2. ปัจจัยด้านอื่น ๆ ที่ควรพิจารณา
ขนาดไฟล์: ไฟล์ 24/44.1 kHz มีขนาดใหญ่กว่าไฟล์ 16/44.1 kHz อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เปลืองพื้นที่เก็บข้อมู ลบนอุปกรณ์ของคุณมากกว่า
อุปกรณ์ที่รองรับการเล่น : อุปกรณ์บางอย่างอาจไม่รองรับการเล่นไฟล์ 24-bit หรือไม่สามารถเล่นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หากอุปกรณ์ของคุณรองรับแค่ 16-bit การซื้อไฟล์ 24-bit ก็จะไม่มีประโยชน์ ปัจจุบันอุปกรณ์ต่างๆมันพื้นฐานยืนพื้นที่ 24 บิทหมดแล้ว ขนาดในมือถือโทรศัพท์ 2-3,000บาท ก็ใช้ชิปเซ็ทออดิโอแบบ 24 บิท
แหล่งที่มาของไฟล์เพลงนั้น : สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณภาพการบันทึกเสียงและมาสเตอร์ริ่ง (Mastering) ของเพลงนั้นๆ ต่อให้เป็นไฟล์ 24-bit แต่ถ้าคุณภาพการบันทึกดั้งเดิมไม่ดี ก็ไม่ช่วยให้เสียงดีขึ้นได้แต่อย่างใด
วกกลับมาสรุปเรื่องสตรีมมิ่ง HD Lossless ของทาง Spotify ที่เปิดตัวไปแล้วนั้น เมื่อคุณเคลมตัวเองมาเป็น HD แล้ว หมายถึงคุณแบกรับความคาดหวังของเหล่านักฟังเพลงออดิไฟล์ไปแล้วครัึ่งตัวไปแล้วบอกเลย ผมยังไม่เห็น การรีวิวการใช้งานสตรีมมิ่ง แบบ HD lossless นี้จากทางเมืองนอกแต่อย่างใด สำหรับเมืองไทยเราผมเพิ่งได้เมล์จาดทาง Spotify เมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งใครเป็นสมาชิก ก็น่าจะได้รับเมล์นี้เหมือนกัน เมล์ที่ส่งมาบอกให้เราทราบและยอมรับข้อตกลงใหม่ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ใน วันที่ 26 กันยายน นี้ ในเนื้อหาข้อกำหนดใหม่ ยังครอบคลุมไปถึงเรื่อง แพ็คเกจ และ ราคา ผมยกข้อความนี้มาจากหน้าหลักบนเว็บไซท์ของเขา ที่ลิ้งค์มาจากในอีเมล์ "Spotify อาจเปลี่ยนแปลงราคาสำหรับการสมัครใช้งานแบบชำระค่าบริการ รวมถึงค่าสมัครที่ต้องชำระซ้ำ ระยะเวลาที่ชำระล่วงหน้า (สำหรับช่วงเวลาที่ยังไม่ได้ชำระเงิน) หรือรหัส (ตามที่ระบุไว้ข้างต้น) เป็นระยะ และจะแจ้งการเปลี่ยนแปลงราคาใดๆ ให้คุณทราบล่วงหน้าตามการแจ้งประกาศที่เหมาะสม การเปลี่ยนแปลงราคาจะมีผลในการเริ่มต้นการสมัครสมาชิกครั้งถัดไป ตามวันเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงราคา หากคุณใช้บริการ Spotify ต่อไปหลังจากการเปลี่ยนแปลงราคา จะถือว่าคุณได้ยอมรับราคาใหม่นั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกฎหมายที่บังคับใช้ หากคุณไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงราคา คุณสามารถปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงนั้นได้โดยยกเลิกการสมัครใช้งานแบบชำระค่าบริการก่อนที่การเปลี่ยนแปลงราคาจะมีผล "
อันนี้ก็ไม่อาจทราบได้จริงๆว่า จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลงกันแน่ จากพี่ใหญ่แห่งวงการเพลงสตรีมมิ่ง นามว่าข้าคือ SPOTIFY.